ถ้าไม่อยากให้เครื่องยนต์ของรถคุณพังก่อนเวลาอันควร มาดูกันดีกว่าว่าของเหลวในรถควรเปลี่ยนตอนไหน
ทุกวันนี้บอกเลยว่าคนส่วนใหญ่ มีการใช้รถเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งพฤติกรรมการใช้งานรถนั้นโดยเฉลี่ยแล้วจะใช้งานกันยาวๆอย่างน้อยก็ 5 ปีขึ้น ซึ่งบางคนอาจจะละเลยหรือยังไม่รู้ว่าของเหลวที่ใช้ในรถของเรานั้นมีอะไรบ้างและควรเปลี่ยนตอนไหน
ซึ่งสำหรับวันนี้ทาง UPCAR จะพาเพื่อนๆ ไปดูกันว่าของเหลวอะไรบ้างที่ควรเปลี่ยนเมื่อถึงเมื่อถึงเวลา ไม่รอช้าไปดูกันเลย!
1. น้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากที่ควรเปลี่ยน เพราะจะทำให้หล่อเลี้ยงการทำงานของเครื่องยนต์ให้ทำงานได้ดี ซึ่งปกตินิยมเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อรถวิ่งถึงระยะ 8,000 – 10,000 ก.ม. หรือประมาณทุกๆ 6 เดือน แต่ถ้ารถของคุณมีการใช้งานบ่อยแนะนำว่าควรจะทำการเปลี่ยนทุกๆ 5,000 ก.ม. หรือทุก 3 เดือน
และในกรณีที่รถจอดไว้ไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน ก็จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเช่นกันเนื่องจากน้ำมันเครื่องจะทำปฏิกิริยากับอากาศทำให้เสื่อมลงเรื่อยๆ
ระยะทางในการถ่ายน้ำมันเครื่อง มีดังนี้
น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา 5,000 กิโลเมตร
น้ำมันเครื่อง กึ่งสังเคราะห์ 7,500-8,000 กิโลเมตร
น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 10,000-15,000 กิโลเมตร
2. น้ำมันเบรก
ในส่วนของน้ำมันเบรกนั้นมีหน้าที่สำคัญคือ เป็นตัวกลางส่งแรงดันจากแม่ปั๊มเบรกตัวบนไปยังลูกสูบเบรก ซึ่งน้ำมันเบรกที่ดีจะต้องมีจุดเดือดสูง เพื่อไม่ให้น้ำมันเบรกร้อนเร็วเกินไปจนกลายเป็นไอไม่สามารถถ่ายเทแรงดันได้ตามปกติ
ถ้าในกรณีที่น้ำมันเบรกเสื่อมประสิทธิภาพนั้น หรือไม่มีน้ำมันเบรกหล่อลื่นก็จะทำให้เกิดการสึกหรอและทำให้เบรกแตกได้ ซึ่งการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกควรเปลี่ยนถ่ายทุก ๆ 1 ปี (ถ้ารถใช้น้อย) หรือ เปลี่ยนทุก ๆ 40,000 กม.
3. น้ำมันเกียร์
ความสำคัญของหน้าที่น้ำมันกียร์คือ ช่วยลดแรงเสียดทาน ลดเสียงดัง ลดการสึกหรอของเกียร์ และการสั่นสะเทือนในเรือนเกียร์ ช่วยชะล้างเศษโลหะจากหน้าฟันเกียร์ที่เกิดจากการสะเทือน โดยแบ่งประเภทเกียร์ดังนี้
เกียร์ธรรมดานั้น รอบเปลี่ยนจะมีระยะเวลานานอยู่ที่ประมาณปีละ 1 ครั้ง แต่ถ้าคุณเป็นคนขับรถลุยน้ำบ่อย ควรเปลี่ยนเร็วกว่านั้นเนื่องจากความชื้นอาจจะเข้าไปบริเวณห้องเกียร์ ทำให้น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนดได้
เกียร์ออโต้ ส่วนใหญ่ในคู่มือรถยนต์จะแนะนำให้เปลี่ยนทุกๆ 30,000 หรือ 40,000 กิโลเมตร แต่ถ้าเป็นรถที่วิ่งเยอะๆหรือวิ่งๆหยุดๆในกรุงเทพที่ต้องเปลี่ยนเกียร์บ่อยๆ อาจเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ที่ 10,000 – 20,000 กิโลเมตร หรือประมาณปีละครั้ง
ซึ่งข้อสังเกตุของสีน้ำมันเกียร์ ถ้าเป็นสีเหลืองใสหรือสีแดงอยู่แสดงว่าน้ำมันเกียร์ยังคงอยู่ในสภาพดีใช้งานได้ปกติ แต่ถ้าน้ำมันเกียร์เป็นเป็นสีน้ำตาลหรือสีดำถือเป็นสัญญาณแจ้งเตือนแล้วว่า คุณควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ได้แล้ว
4. น้ำมันพาวเวอร์
สำหรับในปัจจุบันน้ำมันพาวเวอร์อาจจะไม่มีในรถบางรุ่นแล้วเพราะรถยนต์รุ่นใหม่ๆที่ออกมาจะใช้ระบบพวงมาลัยไฟฟ้าแทนซะส่วนมาก แต่ถ้ารถของคุณยังเป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ไฮดรอลิค ก็จะต้องการมีเปลี่ยนน้ำมันพาวเวอร์นั่นเอง
ซึ่งควรมีการเปลี่ยนเปลี่ยนถ่ายน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ทุก 80,000 กิโลเมตร เพราะถ้าเวลาผ่านไปความร้อนจากเครื่องยนต์และสภาพโดยรอบจะทำให้ความสามารถในการทำงานของน้ำมันลดลง และทำให้ชิ้นส่วนภายในระบบพวงมาลัยเพาเวอร์สึกหรอและสึกกร่อนได้
5. น้ำยาหล่อเย็น
สำหรับตัวน้ำยาหล่อเย็นนั้น จะช่วยทำให้จุดเดือดของน้ำที่ผสมสูงขึ้น ทำให้น้ำที่อยู่ในหม้อน้ำเดือดช้าลง แถมยังป้องกันการเกิดสนิม ตะกรัน ตะกอน เพราะเมื่อมีสนิมมันก็จะผุ กร่อน มีตะกอน น้ำยาจึงช่วยไม่ให้มีการอุดตันในรังผึ้งของหม้อน้ำ
ซึ่งการใช้งานน้ำยาหล่อเย็นนั้น โดยส่วนมากจะผสมน้ำกับน้ำยาหล่อเย็น ในอัตราส่วน 50/50 หรือสามารถดูอัตราส่วนการผสมได้ ตามวิธีข้างขวดของน้ำยายี่ห้อนั้นๆ ระยะการเปลี่ยนถ่ายก็ขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่นและน้ำยาที่ใช้ เช่น บางรุ่นกำหนดไว้ทุกๆ 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร และบางรุ่นกำหนดไว้ที่ 100,000 – 200,000 กิโลเมตร เป็นต้น
สำหรับการตรวจเช็คควรเปิดฝากระโปรงหน้าอาทิตย์ละครั้งเพื่อสังเกตน้ำในหม้อน้ำ และหม้อพักน้ำสำรอง ว่าน้ำลดลงผิดปกติหรือไม่ และควรดูรอยคราบน้ำว่ามีเลอะออกมากหรือไม่
และนี่ก็คือข้อมูลระยะเวลาของเหลวในรถยนต์ ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ หวังว่าเพื่อนๆจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย สำหรับบทความหน้าจะมีเคล็ดลับและเรื่องน่ารู้ยานยนต์อะไรมาฝากกันอีก ต้องรอติดตามชมกันนะคะ